1. ความนิยมสกุลไฟล์ภาพ WebP ที่มากขึ้น
ฟอร์แมตภาพที่ช่วยลดน้ำหนักของไฟล์ภาพลงได้มาก 20 – 35% โดยคงคุณภาพของภาพเท่าเดิม WebP เริ่มพัฒนาโดย Google ในปี 2010 ที่เป็นเหมือนการควบรวมเอาคุณสมบัติของไฟล์ JPEG, PNG และ GIF มารวมกัน โดยพัฒนาการบีบอัดภาพให้มีน้ำหนักเบากว่า JPEG รองรับ Transparency แบบ PNG และสามารถเคลื่อนไหวแบบ GIF ทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้เว็บไซต์มีน้ำหนักที่เบาลง โหลดได้เร็ว โดยเว็บไซต์ที่นำฟอร์แมตภาพ WebP มาใช้เช่น Facebook และ eBay
WebP เริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้นในช่วงปลายปี 2018 ที่ผ่านมาหลังจากที่ Microsoft Edge และ Mozilla Firefox ประกาศรองรับฟอร์แมตภาพชนิดนี้ (เดิมมีเพียง Google Chrome และ Opera) ในขณะที่ Safari ในอุปกรณ์ต่างๆ จากค่าย Apple นั้นยังไม่รองรับ
สำหรับการออกแบบเว็บไซต์ส่วนใหญ่ที่ใช้บริการของ WordPress หรืออื่นๆ สามารถใช้ไฟล์ WebP ได้โดยการติดตั้ง Plug-In ที่จะช่วยในการแปลงไฟล์ JPG, PNG หรือ GIF เป็น WebP หรือใช้ไฟล์รูปแบบเดิมเมื่อต้องแสดงผลกับเบราเซอร์ที่ยังไม่รองรับ WebP อย่าง Safari
2. Typography และการใช้ฟอนต์ Serif เพื่อสร้างความแตกต่าง
นับตั้งแต่ก้าวเข้าสู่ยุค Flat Design การออกแบบเว็บไซต์โดยส่วนใหญ่นิยมใช้ฟอนต์แบบ Sans Serif (ฟอนต์ไม่มีเชิง) ที่เรียบง่าย มีลักษณะสมมาตร ทำให้หน้าตาของเว็บส่วนใหญ่มีความคล้ายคลึงกัน (แม้ยังคงความต่างกันด้วย Mood & Tone ของการใช้สี รูปภาพ และลักษณะของตัวฟอนต์เอง) การออกแบบเว็บที่ใช้ Typography เช่น การนำฟอนต์แบบ Serif มาใช้เป็นหัวข้อเรื่อง ใช้กับคำสั้นๆ ที่เน้นเป็นขนาดใหญ่ภายในเว็บ จะช่วยเพิ่มความสดใหม่ให้กับเว็บไซต์ ซึ่งเป็นอีกเทรนด์การออกแบบเว็บที่เริ่มทำกันมากขึ้น
3. PHP 7
เรียกว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้หลังจากผู้พัฒนา PHP ประกาศหยุดซัพพอร์ท PHP 5.6 และทางผู้ให้บริการพัฒนาเว็บไซต์อย่าง WordPress เองก็มีประกาศให้เว็บต่างๆ ต้องอัพเกรดเป็น PHP 7 ด้วยเช่นกัน
จุดเด่นของ PHP 7 คือการใช้ทรัพยากรของเซิร์ฟเวอร์ที่น้อยลง ทำให้เซิร์ฟเวอร์ และเว็บไซต์ตอบสนองฝั่งผู้ใช้ หรือ End-User ได้เร็ว และมีประสิทธิภาพ (เวอร์ชั่นล่าสุด ณ กุมภาพันธ์ 2562 คือ PHP 7.3)
4. Single Page Website ครบจบในหน้าเดียว
ในยุคที่พฤติกรรมของผู้ใช้สมาร์ทโฟนชินกับการ “ปัด” จากการใช้แอปโซเชียลมีเดียต่างๆ การออกแบบเว็บไซต์แบบ Single Page โดยคัดเฉพาะเนื้อหาที่คุณอยากให้ผู้ใช้เว็บรู้รวมไว้ในหน้าแรกหน้าเดียว จึงตอบโจทย์พฤติกรรมผู้ใช้สมาร์ทโฟนยุคนี้ และยังเหมาะกับเหล่าองค์กร SME ที่มีข้อมูลผลิตภัณฑ์ หรือบริการไม่มาก
ทว่าการออกแบบ Single Page Website ที่ดูเหมือนน้อย แต่ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะหัวใจสำคัญของทำ Single Page Website ที่ดีคือการจัดองค์ประกอบภาพ และเนื้อหา ให้มีความน่าสนใจ รวมถึงการเขียน และออกแบบเว็บให้โหลดแสดงผลได้เร็วที่สุด หน้าเว็บที่มีน้ำหนักเบาสมกับเป็นเว็บไซต์หน้าเดียว
5. Progressive Web Apps (PWA) และ Web Notification
มาตรฐานใหม่จาก Google ในการพัฒนาเว็บไซต์ให้มีหน้าตา และลักษณะการใช้งานเสมือนแอปพลิเคชัน ตามเทรนด์ที่ว่าคนส่วนใหญ่เริ่มติดตั้งแอปน้อยลง และอยู่กับเบราเซอร์มากขึ้น
จุดเด่นของ Progressive Web Apps ที่เหนือกว่า Mobile Site ปกติคือ คือการเก็บข้อมูลเว็บ (Cache) ให้สามารถเปิดใช้ได้แม้ไม่มีอินเทอร์เน็ต มีการแจ้งเตือน (Notification) และการแสดงผลแบบเต็มจอเสมือนติดตั้งแอป
ด้วยความที่ต้องออกแบบเว็บบนพื้นฐานของการเป็นแอปนี้ก็ทำให้การจัดวาง Content และ Layout ต่างๆ ภายในเว็บดูง่ายต่อผู้ใช้มากกว่าการเข้า Mobile Web ทั่วไป และจากผลการเปลี่ยน Mobile Web เป็น Progressive Web Apps ของบริษัทยักใหญ่อย่าง Alibaba ก็ช่วยเพิ่มยอดขายจากการเข้าเว็บบนสมาร์ทโฟนสูงขึ้นถึง 76% เลยทีเดียว