ในโลกยุคดิจิทัลและความล้ำหน้าของเทคโนโลยี มีเทคโนโลยีหลายอย่างที่สามารถปรับเปลี่ยนนำไปประยุกต์ใช้ได้กับผลิตภัณท์ซอร์ฟแวร์ต่างๆ รวมทั้งกระบวนการของการทำงานในองค์กรต่างๆ ในปัจจุบัน และถือเป็นพื้นฐานของการทำงาน IT เลยก็ว่าได้ ยกตัวอย่างของการใช้คอมพิวเตอร์ การใช้ไดร์ฟเพื่อเก็บข้อมูลต่างๆ หรือ Cloud ของแอปพลิเคชันอะไรก็ตาม จะเข้ามามีบทบาทในการใช้งานค่อนข้างมาก โดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐานที่ส่งผลให้เกิดการใช้งานโดยตรง
วันนี้เราเลยพามามาดูความหมายและความแตกต่างของ Public Could และ Private Cloud กัน!
Public Cloud VS Private Cloud
ทั้ง Public Cloud และ Private Cloud ถือเป็นเทคโนโลยีที่เข้ามามีส่วนในการทำงานขององค์กรหลายแขนง ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานเว็บไซต์ แอปพลิเคชัน ซอฟต์แวร์ หรือโปรแกรมต่างๆ รวมถึงอุปกรณ์ IoT การเก็บข้อมูลของอุตสาหกรรมที่มีขนาดใหญ่ หรือเดี๋ยวนี้แม้แต่ฟรีแลนซ์ คนทำงาน ธุรกิจเล็กๆ ก็ใช้กันอย่างแพร่หลาย ถือว่ามีความสำคัญมาก
การทำงานและความหมายของ Cloud Computing
Cloud Computing คือ เทคโนโลยีโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีใช้ในการรวบรวมจัดเก็บประมวลผลผ่านช่องทางออนไลน์ คล้ายกับการทำงานของคอมพิวเตอร์แต่มีขนาดที่ใหญ่มากกว่าปกตินั่นจึงทำให้สามารถทำงานได้รวดเร็วมากกว่าคอมพิวเตอร์ธรรมดา อาจเห็นในตัวอย่างของการเก็บไฟล์รูปภาพในสมาร์ทโฟน การเก็บข้อมูลแอปพลิเคชันหรือฝากไฟล์งานที่สำคัญ แต่จริงๆ แล้วมีรายละเอียดของการใช้งานมากกว่านั้น
Cloud Computing มีด้วยกัน 3 รูปแบบคือ Public Could, Private Cloud, Hybrid Cloud ซึ่งมีความแตกต่างกันออกไปดังต่อไปนี้
Public Could คืออะไร?
ระบบจัดเก็บข้อมูลและประมวลผลที่ถูกเก็บไว้ในเครื่องเซิร์ฟเวอร์สาธารณะ เหมือนรวมกันไว้ในที่เดียวแต่ผู้ใช้งานแต่ละคนจะไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลของคนอื่นถ้าไม่ได้รับอนุญาต ถือว่ามีความปลอดภัยระดับหนึ่ง มีข้อดี คือ สะดวกในการใช้งาน มีความรวดเร็ว และถือว่าได้รับความนิยมสามารถทำงานร่วมกันได้ง่ายและมีความสะดวกมาก
Private Cloud คืออะไร?
Private Cloud คือ ระบบจัดเก็บข้อมูลและประมวลผลที่ถูกเก็บไว้ในเครื่องเซิร์ฟเวอร์ส่วนตัว มีความเป็นส่วนตัวสูง ปลอดภัยและเข้าถึงยากสูงกว่า Public Cloud มาก ผู้ใช้งานสามารถตั้งค่าต่างๆ ได้เอง
Hybrid Cloud คืออะไร?
Hybrid Cloud คือเป็นการใช้งานของ Public Could และ Private Cloud ร่วมกันอยู่ที่การจัดการขององค์กรนั้นๆ มีความคล่องตัวและปลอดภัย ถือเป็น Cloud Computing ที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุด
Public Could มีจุดเด่นคือ
- ลดค่าใช้จ่าย ทั้งเรื่องของการดูแล ติดตั้ง บำรุงรักษาหรือการเปลี่ยนอุปกรณ์ ถือว่าคุ้มค่า
- เพิ่มและลดการใช้งาน Cloud ได้ตามต้องการเพียงสั่งงานบนช่องทางการใช้งาน
- ลดการเกิดปัญหาระบบล่ม เพราะมีมาตรฐานรับรองจากผู้ให้บริการ เช่น SLA, ISO/IEC
- ใช้งานง่ายมีการอบรมการใช้งานเบื้องต้นและมีเจ้าหน้าที่ IT คอยให้การช่วยเหลืออีกทีหนึ่งด้วย
- ใช้งานผ่านออนไล์ได้ทุกที่ตลอดเวลา
- สามารถจัดการทรัพยากรทั้งหมดที่องค์กรมีได้ด้วยตนเองซึ่งควบคุมผ่าน Platform
Private Cloud มีจุดเด่นคือ
- มีความอิสระในการควบคุมการเข้าถึงและตั้งค่าความปลอดภัยได้
- มีความเป็นส่วนตัวของ Hardware และ Software ทำให้มั่นใจในความปลอดภัยได้ดี
- สามารถกำหนดการบริหารจัดการได้ชัดเจนทำให้สามารถควบคุมและดูแลระบบได้ดี
- ลดปัญหาในการเชื่อมต่อหรือลดระยะเวลาการตอบสนองการใช้งานโดย Bandwidth
- องค์กรสามารถจัดการและควบคุมทรัพยากรทั้งหมดผ่าน Platform
Hybrid Cloud มีจุดเด่นคือ
- ช่วยลดต้นทุนเพราะไม่ต้องลงทุนกับ Private Cloud ทั้งหมด
- ลดข้อเสียในการเลือกใช้ Public Could และ Private Cloud
- เป็นการรวม Public Could และ Private Cloud ซึ่งทำให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
Recap
ดังนั้นการนำ Cloud มาประยุกต์ใช้งานให้เข้ากับองค์กรถือว่าเป็นการเลือกเทคโนโลยีให้เหมาะกับองค์กรและให้เกิดประโยชน์สูงสุด
- Public Could เหมาะที่จะใช้เก็บข้อมูล WordPress หรือใช้ในการทดลองระบบการทำงานเป็นต้น
- Private Cloud เหมาะแก่การเก็บรวบรวมข้อมูลที่มีความสำคัญ อย่างข้อมูลทางการเงินและฐานข้อมูลลูกค้า เป็นต้น
- Hybrid Cloud เหมาะแก่การนำมาใช้ให้เข้ากับข้อมูลตต่างๆที่ต้องการเพราะเป็นการทำงานร่วมกันระหว่าง Public Could และ Private Cloud
ถือว่าเป็นเทคโนโลยีแห่ยุคที่สามารถช่วยให้การทำงานง่ายและสะดวกสบายมากขึ้น แล้วยังมีความปลอดภัยในการใช้งานอีกด้วย รู้แบบนี้แล้วในการเลือกการรับบริการของทั้ง 2-3 รูปแบบ ท่านควรเลือกบริการที่เหมาะสมกับการใช้งานของเราเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด การซื้อแพ็คเกจ Cloud สำหรับใช้ในองค์กรแต่ละที่จะแตกต่างกันออกไป ลองมาดูแพ็คเกจ Cloud Hosting จาก VPS กันว่าจะถูกใจกันไหม