ในปัจจุบันมีเว็บไซต์ต่างๆ มากมายเกิดขึ้น โดยเฉพาะในฝั่งของ eCommerce นั้นเรียกได้ว่ามีการเติบโตอย่างเห็นได้ชัด เพราะการชำระเงินผ่านทางออนไลน์ง่ายกว่าสมัยก่อนเป็นอย่างยิ่ง เบื้องหลังของความสะดวกสบายเหล่านี้ต่างใช้ Payment Gateway เข้ามาช่วยเหลือ ว่าแต่ Payment Gateway ไทยคืออะไร? ทำไมถึงจำเป็นต้องมี? Payment Gateway เจ้าไหนดีน่าใช้งานในปี 2022 ที่จะถึงนี้ เราได้รวบรวมคำตอบเอาไว้ที่นี่เรียบร้อย
ทำความเข้าใจ Payment Gateway คืออะไร
ก่อนจะดูว่า Payment Gateway เจ้าไหนดี ก็ต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่า Payment Gateway ไทยคืออะไร เราสามารถเรียกบริการนี้ได้ง่ายๆ ว่าคือ “ผู้ให้บริการระบบชำระเงินออนไลน์” เป็นช่องทางหนึ่งของการชำระเงินผ่านทางออนไลน์ที่ได้รับความนิยม การที่เว็บไซต์ E-Commerce มีการต่อ Payment Gateway เป็นของตัวเองก็จะทำให้การซื้อและจ่ายเงินผ่านทางออนไลน์นั้น สะดวก สบายและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น
เนื่องจากแต่ละ Payment Gateway จะต้องได้รับมาตรฐานและตรงตามที่กฎหมายกำหนด ถือว่าเป็นอีกสิ่งที่สำคัญและช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์นั้นๆ มากยิ่งขึ้น โดยเราสามารถแบ่งประเภทของ Payment Gateway ได้ออกเป็นทั้งหมด 2 ประเภทด้วยกันคือ
Payment Gateway Bank VS Online Payment Gateway (Non-bank)
ระบบชำระเงินเชื่อมกับธนาคารโดยตรง (Payment Gateway Bank)
ซึ่งผู้ให้บริการก็จะเป็นธนาคารต่างๆ ที่จัดทำระบบเอาไว้ มีความน่าเชื่อถือสูงแต่มีรายละเอียดในการเปิดใช้บริการเยอะ
ระบบชำระเงินผ่านตัวกลาง (Non-bank Payment Gateway)
ผู้บริการจะเป็นลักษณะตัวกลางของการชำระเงินระหว่างเราไปยังธนาคาร จะมีรูปแบบการชำระเงินให้เลือกหลากหลายและเปิดใช้งานง่าย
1. 2C2P
เริ่มกับ Payment Gateway ไทยเจ้าแรกที่เพียงเอ่ยชื่อมาก็ต้องคุ้นๆ กันบ้าง อย่าง “2C2P” บริการรับชำระเงินผ่านทางออนไลน์ 2C2P คือ Payment Gateway ที่เติบโตในไทยเป็นอย่างมากในหลายปีที่ผ่านมาเนื่องจากมีบริการเกี่ยวกับการชำระเงินหลากหลายช่องทางให้เลือกใช้ อีกทั้งในปัจจุบันยังมีพาร์ทเนอร์เจ้าใหญ่มากมายใช้บริการ โดยเพื่อนๆ สามารถดูได้ว่า 2C2P ค่าธรรมเนียมเท่าไหร่ได้ผ่านทางลิงก์นี้
2. Omise
Omise คือ Payment Gateway ไทยอีกตัวที่มาแรงไม่แพ้ใคร มีการเติบโตที่เห็นได้ชัด แม้จะเป็นสตาร์ทอัพ แต่ก็ให้บริการกับเจ้าใหญ่หลายๆ เจ้าไม่ว่าจะเป็นระบบการชำระเงินของ True Corporation รวมถึงโรงแรมและร้านอาหารในเครือ Minor International ก็ใช้บริการ Omise เช่นกัน จุดเด่นอีกอย่างคือ UX และ UI ที่น่าใช้งาน สำหรับในส่วนของค่าบริการสามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่
3. K-payment gateway
สำหรับ K-payment gateway หรือ Kasikorn payment gateway นั้นเป็นระบบชำระเงินเชื่อมกับธนาคารโดยตรง เป็น Payment Gateway ไทยของธนาคารกสิกรไทยที่เรารู้จักกันดี จุดเด่นคือสามารถแปลงสกุลเงินได้แบบอัตโนมัติและรองรับสกุลเงินมากกว่า 30 สกุลด้วยกัน อย่างไรก็ตามในส่วนของการเปิดใช้บริการจะค่อนข้างใช้รายละเอียดมากเช่นต้องมีเงินฝากค้ำประกันเอาไว้ 200,000 บาทเป็นต้น
4. Rabbit LINE Pay
ให้บริการโดย บริษัท แรบบิท-ไลน์ เพย์ จำกัด หรือก็คือ LINE Pay ที่เราต่างรู้จักกันดี ต่อมา LINE ประเทศไทยร่วมมือกับบัตรแรบบิท พัฒนาบริการระบบชำระค่าโดยสารของ BTS และเปลี่ยนชื่อ LINE Pay เป็น Rabbit LINE Pay ซึ่ง Rabbit LINE Pay เป็น e-Wallet รายใหญ่รายหนึ่งที่เริ่มเป็นที่นิยมในหมู่คนค้าขายออนไลน์ในประเทศไทยที่เปิดร้านใน LINE Shopping ซึ่งทำให้ Rabbit LINE Pay กลายเป็นตัวกลางในการรักษาความปลอดภัย นอกจากนี้สำหรับร้านที่เป็นระบบหน้าร้านบนเว็บไซต์ Rabbit LINE Pay มี Plugin สำหรับ WooCommerce ที่เชื่อมกับ WordPress ได้อีกด้วย
5. DigiO (ดิจิโอ) หรือ DigiPay
DigiO เป็นสตาร์ทอัพที่ให้บริการระบบชำระเงินที่คร่ำหวอดในวงการมานานกว่า 10 ปี โดยสามารถให้บริการทั้งฮาร์ดแวร์และซอร์ฟแวร์โซลูชั่นต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการชำระเงินค่าสินค้าและบริการ ปัจจุบันมีผู้ใช้บริการรับชำระเงินโดยมี DigiO เป็นตัวกลางมากกว่า 1 แสนร้านค้า และฐานลูกค้าของ DigiO ไม่ได้มีเพียงในประเทศไทยเท่านั้น ยังครอบคลุมไปถึงประเทศอื่นๆ ในเอเชีย เช่น ญี่ปุ่น มาเลเซีย เป็นต้น
สรุป
สำหรับใครที่กำลังทำเว็บไซต์ขายของเป็นของตัวเองแล้วละก็ สามารถนำข้อมูล Payment Gateway ไทยด้านบนที่เรารวบรวมมาไปชั่งน้ำหนักหาเจ้าที่ตอบโจทย์กับสิ่งที่เราต้องการที่สุดได้เลย บอกเลยว่าการต่อ Payment Gateway ไว้กับเว็บไซต์ของตัวเองนั้นมีแต่ได้กับได้ สะดวกสบายและปลอดภัยอย่างแน่นอน
สำหรับใครที่กำลังทำเว็บไซต์เป็นของตัวเองและกำลังมองหาโฮสติ้งดีๆ ลองมาดูแพ็คเกจ WordPress Hosting จาก VPS กัน เรามีแพ็คเกจระดับพรีเมี่ยมดีๆ ให้เลือกมากมาย
